คดี “โอ๋” ซื้อบ้านไม่ได้บ้าน กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2025 หลังผู้เสียหายจำนวนมากออกมาแฉว่า ถูกหลอกให้จ่ายเงินจองบ้านและเงินดาวน์ โดยอ้างว่าเป็นโครงการบ้านหรูทำเลทอง แต่เมื่อถึงกำหนดส่งมอบกลับไม่มีบ้านจริง ไม่มีโครงการ และไม่มีแม้แต่เอกสารสิทธิ์ในที่ดิน
เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากหญิงสาวชื่อ “โอ๋” ที่นำเสนอขายบ้านผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียต่าง ๆ โดยอ้างว่ามีทีมงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ มีแบบบ้านหลากหลายและราคาเริ่มต้นเพียงหลักล้าน ทำให้มีผู้สนใจจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ที่ต้องการบ้านหลังแรก
แต่เมื่อถึงวันนัดโอนกรรมสิทธิ์กลับไม่มีบ้านจริง ปรากฏเพียงที่ดินรกร้าง และเมื่อผู้ซื้อพยายามติดต่อ “โอ๋” ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก กลายเป็นมหากาพย์หลอกขายบ้านที่สร้างความเสียหายหลายสิบล้านบาท
เบื้องหลังธุรกิจหลอกขายบ้านของ “โอ๋”
“โอ๋” เคยเป็นนักขายอสังหาริมทรัพย์มือหนึ่งในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง โดยใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการขายบ้าน จัดทำโฆษณาในลักษณะ “บ้านพร้อมอยู่ ราคาพิเศษ จองวันนี้ลดทันที 200,000 บาท” พร้อมภาพบ้านตัวอย่างสุดหรู
แต่เมื่อมีการตรวจสอบโดยกรมที่ดินและหน่วยงานรัฐ พบว่า ไม่มีการจดทะเบียนจัดสรรที่ดินหรือขอใบอนุญาตก่อสร้างอย่างถูกต้อง โครงการที่ “โอ๋” นำเสนอเป็นเพียงแผนภาพจำลองที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงลูกค้า
นักกฎหมายอสังหาฯ ระบุว่า พฤติกรรมนี้ถือเป็น “ฉ้อโกงประชาชนเต็มรูปแบบ” เพราะมีการสร้างข้อมูลเท็จ จัดทำโฆษณาหลอกลวง และรับเงินจากผู้ซื้อโดยไม่มีเจตนาส่งมอบสินค้าจริง
ผู้เสียหายรวมตัวร้องเรียน พร้อมหลักฐานแน่น
หลังมีการเผยแพร่เรื่องราว ผู้เสียหายกว่า 30 รายได้รวมตัวกันยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมียอดความเสียหายรวมกว่า 50 ล้านบาท
หลักฐานที่ผู้เสียหายมอบให้เจ้าหน้าที่ประกอบด้วย
-
สัญญาซื้อขายและใบเสร็จการโอนเงินเข้าบัญชี “โอ๋”
-
ภาพบ้านจำลองที่ใช้ในการโฆษณา
-
ข้อความแชตและอีเมลที่ใช้เจรจาซื้อขาย
ในเอกสารบางชุดยังมีชื่อธนาคารเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากผู้เสียหายบางรายขอสินเชื่อบ้านจากธนาคารจริง เพื่อจ่ายให้กับ “โอ๋” ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น
ธนาคารยื่นมือเข้าช่วย หลังพบพฤติกรรมเข้าข่ายฉ้อโกง
ความคืบหน้าล่าสุด ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ออกแถลงการณ์ว่า พร้อม “ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย” หลังตรวจสอบพบว่ามีลูกค้าจำนวนหนึ่งถูกหลอกให้ทำสินเชื่อบ้านกับเอกสารโครงการปลอม
ธนาคารได้ตั้งคณะทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจและกรมที่ดิน เพื่อเร่งตรวจสอบรายการสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับ “โอ๋” และดำเนินการระงับธุรกรรมบางส่วน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติม
ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งหนึ่งกล่าวว่า “เราจะไม่ทอดทิ้งลูกค้าที่ถูกหลอก และพร้อมพิจารณาช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม รวมถึงใช้ช่องทางทางกฎหมายในการเรียกคืนเงินจากผู้กระทำผิด”
คำให้การของผู้เสียหาย: “เราฝันจะมีบ้าน แต่กลายเป็นฝันร้าย”
เสียงของผู้เสียหายสะท้อนให้เห็นความเจ็บปวดจากความเชื่อใจที่ถูกหักหลัง
“ตอนนั้นเห็นโฆษณาแล้วเชื่อ เพราะมีเอกสารครบ ดูเหมือนจริงทุกอย่าง โอนเงินดาวน์ไปแล้ว 500,000 บาท แต่สุดท้ายไม่มีบ้านจริงให้ดูแม้แต่หลังเดียว”
อีกรายเล่าว่า “เราไปดูที่ดินที่อ้างว่าเป็นโครงการแล้ว แต่กลับเป็นพื้นที่โล่งไม่มีอะไรเลย โทรหาโอ๋ก็ไม่รับ ติดต่อบริษัทก็ไม่มีอยู่จริง”
เรื่องราวเหล่านี้ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามว่า เหตุใดกรณีแบบนี้ยังเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทั้งที่มีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคอยู่
การดำเนินคดีและข้อหาทางกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองปราบปรามและ DSI ได้ร่วมกันตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยเบื้องต้นตั้งข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” และ “โฆษณาอันเป็นเท็จ” ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากพบว่ามีการปลอมเอกสารราชการหรือใช้เอกสารปลอมในการขอสินเชื่อ อาจเข้าข่ายความผิดเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 7 ปี
ตำรวจยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ “โอ๋” จะมีเครือข่ายอยู่เบื้องหลัง เพราะมีการโอนเงินไปยังบัญชีบุคคลอื่นหลายบัญชีในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
เสียงสะท้อนจากวงการอสังหาฯ
นักวิเคราะห์ในวงการอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า กรณีนี้จะกลายเป็น “คดีตัวอย่าง” ของปี 2025 เพราะสะท้อนถึงช่องโหว่ของระบบตรวจสอบโครงการบ้านจัดสรร
“ทุกวันนี้การขายบ้านผ่านออนไลน์เติบโตเร็วมาก แต่ระบบการตรวจสอบยังไม่ทัน บางคนเห็นภาพสวย ราคาโดนใจ ก็รีบโอนเงิน ทั้งที่ยังไม่ได้ดูสถานที่จริง”
ผู้เชี่ยวชาญจึงเสนอให้ภาครัฐสร้างระบบตรวจสอบโครงการอสังหาฯ ออนไลน์แบบรวมศูนย์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเช็กได้ว่า โครงการนั้นมีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่
ธนาคารและหน่วยงานรัฐเร่งสร้างมาตรการใหม่
หลังจากธนาคารเข้ามามีบทบาทในคดีนี้ หน่วยงานรัฐอย่างสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกรมที่ดินก็ได้ประกาศร่วมมือในการจัดทำระบบ “ตรวจสอบใบอนุญาตจัดสรรออนไลน์” เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจเช็กได้ก่อนโอนเงิน
นอกจากนี้ ธนาคารยังเตรียมสร้างมาตรฐานใหม่ในสินเชื่อบ้าน โดยต้องมีการตรวจสอบโครงการร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมที่ดินก่อนอนุมัติเงินกู้ เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์แบบ “โอ๋” เกิดขึ้นอีก
มุมมองจากนักกฎหมาย: “เข้าข่ายฉ้อโกง 100%”
นักกฎหมายชื่อดังยืนยันว่า กรณีนี้เข้าข่ายฉ้อโกงเต็มรูปแบบ เนื่องจากมีการ
-
แสดงข้อความเท็จเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อ
-
รับผลประโยชน์โดยไม่มีเจตนาทำตามสัญญา
-
ทำให้ผู้เสียหายสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก
“การโฆษณาหลอกขายบ้านไม่เพียงผิดจริยธรรม แต่ยังเป็นความผิดทางอาญา ผู้กระทำจะต้องรับผิดทั้งในทางแพ่งและอาญา และต้องคืนเงินทั้งหมดให้ผู้เสียหาย” เขากล่าว
ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดบ้านปี 2025
หลังคดีนี้เป็นข่าว ตลาดอสังหาฯ เผชิญแรงกระเพื่อมอย่างหนัก โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็กที่ขายผ่านออนไลน์ ยอดจองลดลงเกือบ 30% ภายในเดือนเดียว เพราะผู้บริโภคเริ่มไม่มั่นใจในความโปร่งใสของผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่าในระยะยาว คดีนี้อาจช่วย “ยกระดับมาตรฐาน” ของตลาด เพราะบังคับให้ผู้ขายและนายหน้าต้องแสดงเอกสารอย่างชัดเจน และทำให้ผู้ซื้อระมัดระวังมากขึ้น
เส้นทางของ “โอ๋” สู่การพิจารณาคดี
หลังถูกแจ้งข้อกล่าวหา “โอ๋” ถูกเรียกตัวเข้าสอบสวนหลายครั้ง แต่ยังคงให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าเป็นเพียง “ตัวแทนขาย” ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างโครงการ
แต่จากหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ ทั้งบัญชีธนาคาร การโอนเงิน และเอกสารที่มีลายเซ็น “โอ๋” เอง ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเธอมีบทบาทสำคัญในขบวนการนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สรุป: บ้านที่ไม่มีอยู่จริง แต่ความเสียหายมีอยู่จริง
คดี “โอ๋ ซื้อบ้านไม่ได้บ้าน” คือกรณีตัวอย่างของการหลอกลวงในยุคดิจิทัล ที่แสดงให้เห็นว่า “ภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์” อาจไม่ใช่ความจริง ธนาคารและหน่วยงานรัฐที่เข้ามาช่วยในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน
สุดท้าย บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ — ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านทุกครั้ง ต้องตรวจสอบให้ละเอียด ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาตจัดสรร ที่ดิน หรือชื่อบริษัทผู้ขาย เพราะความฝันของการมีบ้านหนึ่งหลัง อาจกลายเป็นฝันร้ายได้ หากพลาดเพียงก้าวเดียว
FAQ
-
คดี “โอ๋ ซื้อบ้านไม่ได้บ้าน” ตอนนี้อยู่ขั้นตอนใด?
– อยู่ระหว่างการสอบสวนของตำรวจและ DSI โดยมีธนาคารและหน่วยงานรัฐเข้ามาร่วมตรวจสอบ -
ผู้เสียหายจะได้รับเงินคืนหรือไม่?
– ธนาคารและเจ้าหน้าที่กำลังเจรจาเพื่อหาทางช่วยเหลือ อาจมีโอกาสได้รับเงินบางส่วนคืน หากสามารถยึดทรัพย์คืนได้ -
พฤติกรรมของ “โอ๋” เข้าข่ายฉ้อโกงอย่างไร?
– มีการโฆษณาข้อมูลเท็จ รับเงินโดยไม่มีเจตนาส่งมอบบ้านจริง และปลอมเอกสารประกอบการขาย -
ธนาคารเข้ามาช่วยอย่างไร?
– ตรวจสอบรายการสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับ “โอ๋” และพิจารณาช่วยเหลือผู้เสียหายทางกฎหมายและการเงิน -
ผู้ซื้อบ้านควรป้องกันตนเองอย่างไร?
– ตรวจสอบใบอนุญาตโครงการจากกรมที่ดิน ดูชื่อบริษัทผู้ขายให้แน่ชัด และอย่าโอนเงินก่อนเห็นหลักฐานจริง -
กรณีนี้จะส่งผลต่อวงการอสังหาฯ อย่างไร?
– จะทำให้เกิดการปรับระบบตรวจสอบเข้มข้นขึ้น และอาจมีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการขายบ้านออนไลน์ในอนาคต
